tag:blogger.com,1999:blog-69522814117755829092024-02-07T17:48:42.631-08:00mayureemayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.comBlogger7125tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-6846590155257545322009-08-19T19:55:00.000-07:002009-08-19T19:56:28.504-07:00คุนหมิง<p style="visibility:visible;"><object type="application/x-shockwave-flash" data="http://widget-4e.slide.com/widgets/slideticker.swf" height="320" width="426" style="width:426px;height:320px"><param name="movie" value="http://widget-4e.slide.com/widgets/slideticker.swf" /><param name="quality" value="high" /><param name="scale" value="noscale" /><param name="salign" value="l" /><param name="wmode" value="transparent"/> <param name="flashvars" value="cy=ms&il=1&channel=3098476543658235470&site=widget-4e.slide.com"/></object><p style="white-space:nowrap"><a href="http://www.slide.com/pivot?cy=ms&at=un&id=3098476543658235470&map=1" target="_blank"><img src="http://widget-4e.slide.com/p1/3098476543658235470/ms_t015_v000_s0un_f00/images/xslide1.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=ms&at=un&id=3098476543658235470&map=2" target="_blank"><img src="http://widget-4e.slide.com/p2/3098476543658235470/ms_t015_v000_s0un_f00/images/xslide2.gif" border="0" ismap="ismap" /></a> <a href="http://www.slide.com/pivot?cy=ms&at=un&id=3098476543658235470&map=F" target="_blank"><img src="http://widget-4e.slide.com/p4/3098476543658235470/ms_t015_v000_s0un_f00/images/xslide42.gif" border="0" ismap="ismap" /></a></p></p>mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-7076415295088336672009-08-11T00:46:00.000-07:002009-08-11T00:50:03.201-07:00สารและสมบัติของสาร<a href="http://www.thaigoodview.com/library/contest2551/science04/109/unt9/un9.html">สารและสมบัติของสาร</a><br /><a href="http://images.google.co.th/images?hl=th&q=%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3&um=1&ie=UTF-8&ei=CSKBSo2dLZLs6AOEhoG_CQ&sa=X&oi=image_result_group&ct=title&resnum=4">รูปสารเคมี</a>mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-51020596974830122002009-06-20T01:44:00.000-07:002009-06-20T01:45:11.821-07:00การลำเลียง4. การลำเลียงของพืช<br />4.1 การลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ<br /> น้ำและแร่ธาตุเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตของพืช เมื่อนักเรียนใช้แว่นขยายส่องดูที่บริเสณปลายรากของพืชบางชนิดเช่น ถัว จะพบว่ามี ขนราก อยู่ที่บริเวณปลายรากอย่างหนาแน่น ซึ่งขนรากนี้มีประโยชน์ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและแร่ธาตุจากดินที่อยู่รอบ ๆ ข้างเข้าสู่พืช ขนรากมีจำนวนมากทำให้มีโอกาสสัมผัสกับน้ำและแร่ธาตุได้มากขึ้น หารนัดเรียนนำขนรากมาตัดตามขวางแล้วจะพบว่าจนรากจะอยู่บริเวณนอกสุดของราก น้ำและแร่ธาตุสามารถเข้าสู่ขนรากโดยวิธีการออสโมซิสและการแพร่ตามลำดับ<br />โครงสร้างที่ใช้ในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ<br /> น้ำและแร่ธาตุจะแพร่เข้าสู่ภายในราก และถูกลำเลียงไปยังบริเวณต่าง ๆ เช่นราก ลำต้น กิ่ง ใบ โดยผ่านทาง ท่อลำเลียงน้ำ (Xylem) น้ำและแร่ธาตุจะออกไปตามท่อลำเลียงเข้าสู่เซลล์อื่น ๆ ด้วยวิธีการแพร่เช่นเดียวกัน<br />ภาพ แสดงท่อลำลเยงน้ำและอาหาร<br /><br />การคายน้ำของพืช<br /><br /> ที่บริเวณผิวใบของพืช จะมีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ จำนวนมากแทรกอยู่ระหว่างเซลล์คุม 2 เซลล์ เซลล์นี้เรียกว่า เซลล์ปากใบ (Stomata)<br />รูปเซลล์ปากใบ<br /><br /> น้ำที่ผ่านออกทางปากใบของพืชจะมีลักษณะเป็นไอน้ำ เรียกว่า กระบวนการคายน้ำของพืช(Transpiration) ซึ่งจะมีประโยชน์ช่าวยในการลำเลียงน้ำ โดยทำให้เกิดแรงดึงน้ำจากส่วนล่างขึ้นสู่บนเป็นสายน้ำไหลติดต่อกันโดยตลอด การคายน้ำของพืชมีความชุ่มชื้น และช่วยลดอุณหภูมิภายในลำต้นและใบด้วย<br />4.2 การลำเลียงอาหารในพืช<br /> จากความรู้ที่นักเรียนที่นักเรียนได้ศึกษาในเรื่องกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช นักเรียนคงทราบแล้วว่าอาหารที่พืชสร้างขึ้นคือ แป้ง และน้ำตาล และจะถูกลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช โดยท่อลำเลียงอาหาร (Phloem) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นกลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวกันเป็นท่อยาว แทรกอยู่คู่กับท่อลำเลียงน้ำ (Xylem) อาหารจะออกจากท่อลำเลียงอาหารไปยังเซลล์อื่น ๆ ของพืช โดยงิธีการแพร่ และพืชได้เปลี่ยนอาหารส่วนหนึ่งให้เป็นพลังงานเพื่อใช้ใชกิจกรรมการดำรงชีวิต และอาหารอีกส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสร้างเนื้อเยื่อในส่วนต่าง ๆ ของพืช เพื่อให้พืชเจริญเติบโต<br /> โครงสร้างในการลำเลียงอาหารในพืชประกอบไปด้วย<br />เซลล์แครมเบียม : จะสร้างไซเลมและโฟลเอมใหม่ขณะที่พืชโตขึ้น<br />มัดท่อน้ำท่ออาหาร : ประกอบด้วยโฟลเอมแคมเบียมและไซเลม<br />เนื้อเยื่ออีพิเดอร์มิส : เป็นเซลล์เรียงตัวกันชั้นเดียว ภายนอกลำต้นมีหน้าที่ป้องกันลำต้นและลดการสูญเสียน้ำ <br />โฟลเอม : นำสารละลายอาหารและฮอร์โมนไปทั่วทุกส่วนของพืช<br />ไซเลม : นำน้ำและแร่ธาตุขึ้นไปที่ใบmayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-68688082926529523562009-06-20T01:35:00.000-07:002009-06-20T01:36:26.635-07:00เซลล์พืชและสัตว์โครงสร้างพื้นฐานของเซลล์ เซลล์ทั่วไปถึงจะมีขนาด รูปร่าง และหน้าที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม แต่ลักษณะพื้นฐานภายในเซลล์มักไม่แตกต่างกัน ซึ่งจะประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันดังนี้<br />1. <a name="link1"></a>เยื้อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) เยื้อหุ้มเซลล์มีเชื่อเรียกได้หลายอย่าง เช่น พลาสมาเมมเบรน ไซโทพลาสมิก เมมเบรน (Cytoplasmic membrane) เยื้อหุ้มเซลล์มีความหนาประมาณ 75 อังตรอม ประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 60% ลิพิตประมาณ 40% โปรตีนส่วนใหญ่เป็นโปรตีนที่อยู่รวมกับคาร์โบไฮเดรต (Glycoprotein) และโปรตีนเมือก (Mucoprotein) ส่วนลิพิตส่วนใหญ่จะเป็นฟอสโฟลิพิต (Phospholipid) และคลอเลสเทอรอล (Cholesterol) การเรียงตัวของโปรตีนและลิพิตจัดเรียงตัวเป็นสารประกอบเชิงซ้อน โดยมีลิพิตอยุ่ตรงกลาง และโปรตีนหุ้มอยู่ทั้งสองด้าน ชั้นของลิพิตจัดเรียงตัวเป็น 2 ชั้น โดยหันด้านที่มีประจุ ออกด้านนอก และหันด้านที่ไม่มีประจุ (Nonpolar) เข้าด้านในการเรียงตัวในลักษณะเช่นนี้ เรียกว่า ยูนิต เมมเบรน (Unit membrane)<br /> ปี ค.ศ. 1971 เอส เจ ซิงเกอร์ และ การ์ธ นิโคลสัน ได้เสนอแนวคิดที่เป็นโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ว่าเป็นของเหลวสองมิติ หรือลวดลายที่เป็นของเหลว (Fluid mosaic model) โดยชั้นของไขมันจะเรียงตัวเป็น 20 ชั้น หันด้านที่มีประจุออกด้านนอก หันด้านที่ไม่มีประจุเข้าด้านใน ส่วนโปรตีนจะมีทั้งที่แทรกอยู่ในชั้นของลิพิตและห่อหุ้มอยู่ด้านนอก ดังนั้น การเชื่อมต่อของสารจึงมีทั้ง โปรตีนกับโปรตีน โปรตีนกับลิพิต และลิพิตกับลิพิต ซึ่งลักษณะอันนี้จะเปลี่ยนแปลงได้ โดยขึ้นอยู่กับสารหรืออุณหภูมิที่เกี่ยวข้อง<br />เยื่อหุ้มเซลล์มีหน้าที่หลายประการ คือ<br />ห่อหุ้มส่วนของโพรโทพลาสซึม ที่อยู่ข้างใน ทำให้เซลล์แต่ละเซลล์แยกออกจากกัน นอกจากนี้ยังหุ้มออแกเนลล์ อีกหลายชนิดด้วย<br />ช่วยควบคุมการเข้าออกของสารต่าง ๆ ระหว่างภายในเซลล์และสิ่งแวดล้อม เรียกว่ามีคุณสมบัติเป็น เซมิเพอร์มีเอเบิล เมมเบรน (Semipermeable membrane) ซึ่งจะยินยอมให้สารบางชนิดเท่านั้นที่ผ่านเข้าออกได้ ซึ่งการผ่านเข้าออกจะมีอัตราเร็วที่แตกต่างกัน<br />ผนังเซลล์ (Cell wall)<a name="link2"></a><br /> ผนังเซลล์ เป็นส่วนที่อยู่นอกเซลล์ พบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น เซลล์พืช สาหร่าย แบคทีเรีย และรา ผนังเซลล์ทำหน้าที่ป้งกันและให้ความแข็งแรงแก่เซลล์ โดยที่ผนังเซลล์เป็นส่วนที่ไม่มีชีวิต ของเซลล์ ผนังเซลล์พืชประกอบด้วยสารพวกเซลลูโลส เพกทิน ลิกนิน คิวทินและซูเบอรินเป็นองค์ประกอบอยู่ การติดต่อระหว่างเซลล์พึชอาศัยพลาสโมเดสมาตา (Plasmodesmata) เป็นสายใยของไซโทพลาสซึม ในเซลล์หนึ่งที่ทะลุผ่านผนังเซลล์เชื่อต่อกับไซโทพราสซึมของอีกเซลล์หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลำเลียงสารระหว่างเซลล์<br /><br />เปรียบเทียบลักษณะของเซลล์พืชและสัตว์<br /> ส่วนในเซลล์สัตว์ สารเคลือบเซลล์เป็นสารพวกไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) โดยเป็นโปรตีนที่ประกอบด้วย simple protein (โปรตีนที่เมื่อสลายตัวแล้วให้กรดอะมิโนอย่างเดียว) กับคาร์โบไฮเดรต สารเคลือบเซลล์นี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เซลล์ชนิดเดียวกันจดจำกันได้ และเกาะกลุ่มกันเป็นเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะขึ้น ถ้าหากสารเคลือบเซลล์นี้ผิดปกติไปจากเดิม เป็นผลให้เซลล์จดจำกันไม่ได้ และขาดการติดต่อประสานงานกัน เซลล์เหล่านี้จะทำหน้าที่ผิดแปลกไป เช่น เซลล์มะเร็ง (Cencer cell) เซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่มีความผิดปกติหลาย ๆ ประการ แต่ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ สารเคลือบเซลล์ผิดไปจากเดิม ทำให้การติดต่อและประสานงานกับเซลล์อื่น ๆ ผิดไปด้วย เป็นผลให้เกิดการแบ่งเซลล์อย่างมากมาย และไม่สามารถควบคุมการแบ่งเซลล์ได้ จึงเกิดเป้นเนื้อร้ายและเป็นอันตรายต่อชีวิตเป็นอย่างมาก เนื่องจากเซลล์มะเร็งต้องใช้พลังงานและสารจำนวนมาก จึงรุกรานเซลล์อื่น ๆ ให้ได้รับอันตราย<br /> ในพวกเห็น รา มีสารเคลือบเซลล์หรือผนังเซลล์เป็นสารพวกไคทิน (Chitin) ซึ่งเป็นสารพวกเดียวกันกับเปลือกกุ้งและแมลง ไคทินจัดเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยหน่อยย่อย คือ N – acetyl glucosamine มายึดเกาะกันด้วย B -1 , 4 glycosidic bond ส่วนสารเคลือบเซลล์หรือผนังเซลล์ของพวกสาหร่ายไดอะตอม (Diatom) มีสารซิลิกา (Silica) ซึ่งเป็นสารพวกแก้วประกอบอยู่ทำให้มองดูเป็นเงาแวววาว<br />3. โพรโทพลาสซึม (Protoplasm)<a name="link3"></a><br /> โพรโทพลาสซึม เป็นส่วนของเซลล์ที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ทั้งหมด ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเจริญและการดำรงชีวิตของเซลล์ โพรโทพลาสซึมของเซลล์ต่าง ๆ จะประกอบด้วยธาตุที่คล้ายคลึงกัน 4 ธาตุหลัก คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ซึ่งรวมกันถึง 90% ส่วนธาตุที่มีน้อยก็คือ ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม โคบอลต์ แมงกานีส โมลิบดินัม และ บอรอน ธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ จะรวมตัวกันเป็นสารประกอบต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเซลล์และสิ่งมีชีวิต โพรโทพลาสซึม ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) และนิวเคลียส (Nucleus)<br /> 3.1 ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm)<a name="link4"></a><br /> ไซโทพลาสซึม คือส่วนของโพรโทพลาสซึมที่อยู่นอกนิวเคลียส โดยทั่วไปประกอบด้วย<br />ก. ออร์แกเนลล์ (Organell) เป็นส่วนที่มีชีวิต ทำหน้าที่คล้าย ๆ กับอวัยวะของเซลล์ แบ่งเป็นพวกที่มีเยื่อหุ้ม และพวกที่ไม่มีเยื่อหุ้ม<br />ออร์แกเนลที่มีเยื่อหุ้ม (Membrane b bounded organell)<br />ไมโทดอนเดรีย (Mitochondria) พบครั้งแรก โดยคอลลิกเกอร์ (Kollicker) ไมโทคอนเดรีย ส่วนใหญ่จะมีรูปร่างกลม ท่อนสั้น ท่อนยาว หรือกลมรีคล้ายรูปไข่ โดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศุนย์กลางประมาณ 0.2 -1 ไมครอน และยาว 5-7 ไมครอน ประกอบด้วยสารโปรตีน ประมาณ 60-65 % และลิพิต ประมาณ 35-40% ไมโทดอนเดรีย เป็นออร์แกเนลล์ที่มียูนิต เมมเบรน หุ้ม 2 ชั้น (Double unit membrane) โดยเนื้อเยื่อชั้นนอกเรียบมีความหนาประมาณ 60-70 อังตรอม เยื่อชั้นในพับเข้าด้านในเรียกว่า คริสตี (Cristae) มีความหนาประมาณ 60-80 อังตรอม ภายในไมโทดอนเดรีย มีของเหลวซึ่งประกอบด้วยสารหลายชนิด เรียกว่า มาทริกซ์ (Matrix) ไมโทดอนเดรียนอกจากจะมีสารประกอบเคมีหลายชนิดแล้ว ยังมีเอนไซม์ที่สำคัญในการสร้างพลังงานจากการหายใจ โดยพบเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) ในมาทริกซ์ และพบเอ็นไซม์ในระบบขนส่งอิเลคตรอน (Electron transport system) ที่คริสตีของเยื่อชั้นใน นอกจากนี้ยังพบเอนไซม์ในการสังเคราะห์ DNA สังเคราะห์ RNA และโปรตีนด้วย<br /><br />ไมโทดอนเดรียแสดงส่วนประกอบภายใน แสดงส่วนของคริสตา<br /> จำนวนของไมโทคอนเดรียในเซลล์แต่ละชนิด จะมีจำนวนไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับชนิดและกิจกรรมของเซลล์ โดยเซลล์ที่มีเมแทบอลิซึมสูง จะมีไมโทคอนเดรียมาก เช่น เซลล์ตับ เซลล์ไต เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ต่อม ต่างๆ เซลล์ที่เมแทบอลิซึมต่ำ เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อเกี่ยวพันจะมีไมโทคอนเดรียน้อย การที่ไมโทคอนเดรีย มี DNA เป็นของตัวเอง จึงทำให้ไมโทคอนเดรียสามารถทวีจำนวนได้ และยังสามารถสังเคราะห์โปรตีนที่จำเป็นต่อการทำงานของไมโทคอนเดรียได้<br /> หน้าที่ของไมโทคอนเดรีย คือเป็นแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์โดยการหายใจ ระดับเซลล์ในช่วงวัฎจักรเครบส์ ที่มาทริกซ์และระบบขนส่งอิเลคตรอนที่คริสตี<br /> 2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (Endoplasmic reticulum : ER) เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมเป็นออร์แกเนลล์ที่มีเมมเบรนห่อหุ้ม ประกอบด้วยโครงสร้างระบบท่อที่มีการเชื่อมประสานกันทั้งเซลล์ ส่วนของท่อยังติดต่อกับเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มนิวเคลียสและกอลจิบอดี ด้วย ภายในท่อมีของเหลวซึ่งเรียกว่า ไฮยาโลพลาซึม (Hyaloplasm) บรรจุอยู่ เอนโดพลาสมิเรติคูลัมเป็นออกเป็น 2 ชนิดคือ<br /> 2.1 เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดเรียบ (Smooth endoplasmic reticulum : SER) เป็นชนิดที่ไม่มีไรโบโซมเกาะ มีหน้าที่สำคัญคือลำเลียงสารต่าง ๆ เช่น RNA ลิพิตโปรตีนสังเคราะห์สารพวกไขมันและสเตอรอยด์ฮอร์โมน นอกจากนี้ เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดเรียบในเซลล์ตับ ยังช่วยในการกำจัดสารพิษบางอย่างอีกด้วย<br /> 2.2 เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมชนิดขรุขระ (Rough endoplasmic reticulum : RER) เป็นชนิดที่มีไรโบโซม (Ribosome) มาเกาะที่ผิวด้านนอก มีหน้าที่สำคัญคือ การสังเคราะห์โปรตีนของไรโบโซมที่เกาะอยู่ และลำเลียงสารซึ่งได้แก่โปรตีนที่สร้างได้ และสารอื่น ๆ เช่น ลิพิตชนิดต่าง ๆ<br /> <br />กอลจิบอดี (Golgi body) กอลจิบอดี จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันหลายอย่างคือ กอลจิคอมเพลกซ์ (Golgi complex) กอลจิแอพพาราตัส (Golgi apparatus) ดิกไทโอโซม (Dictyosome) มีรูปร่างลักษณะเป็นถุงแบน ๆ หรือเป็นท่อเรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ มีจำนวนไม่แน่นอน โดยทั่วไปจะพบในเซลล์สัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง มากกว่าในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีหน้าที่สำคัญคือ เก็บสะสมสารที่เซลล์สร้างขึ้นก่อน ที่จะปล่อยออกนอกเซลล์ ซึ่งสารส่วนใหญ่เป็นสารโปรตีน มีการจัดเรียงตัวหรือจัดสภาพใหม่ให้เหมาะกับสภาพของการใช้งาน กอลจิบอดี เกี่ยวข้องกับการสร้างอะโครโซม (Acrosome) ซึ่งอยู่ที่ส่วนหัวของสเปิร์มโดยทำหน้าที่เจาะไข่เมื่อเกิดปฏิสนธิ นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับการสร้างเนมาโทซีส (Nematocyst) ของไฮดราอีกด้วย<br />ไลโซโซม (Lysosome) ไลโซโซมเป็นออร์แกเนลล์ที่มีเมมเบรนห่อหุ้มเพียงชั้นเดียว พบครั้งแรกโดยคริสเตียน เดอ ดูฟ (Christain de Duve) รูปร่างวงรี เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.15-0.8 ไมครอน พบเฉพาะในเซลล์สัตว์เท่านั้น โดยพบมากในฟาโกไทซิกเซลล์ (Phagocytic cell) เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาว และ เซลล์ในระบบเรติคูโลแอนโดทีเลียล (Reticuloendothelial system) เช่น ตับ ม้าม นอกจากนี้ยังพบไลโซโซมจำนวนมากในเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีการสลายตัวเอง เช่น เซลล์ส่วนหางของลูกอ๊อดเป็นต้น ไลโซโซมมีเอนไซม์หลายชนิ ด จึงสามารถย่อยสสารต่าง ๆ ภายในเซลล์ได้ดี จึงมีหน้าที่สำคัญคือ<br />ย่อยสลายอนุภาคและโมเลกุลของสารอาหารภายในเซลล์<br />ย่อยหรือทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างการหรือเซลล์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาวกิน และย่อยสลายเซลล์แบคทีเรีย<br />ทำลายเซลล์ที่ตายแล้ว หรือ เซลล์ที่มีอายุมากโดยเยื่อของไลโซโซมจะฉีกขาดได้ง่ายแล้ว ปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยสลายเซลล์ดังกล่าว<br />ย่อยสลายโครงสร้างต่าง ๆ ของเซลล์ในระยะที่เซลล์มีการเปลี่ยนแปลงและมีเมตามอร์โฟซีส (Metamorphosis) เช่น ในเซลล์ส่วนหางของลูกอ๊อด<br />แวคิวโอล (Vacuole) แวคิวโอลเป็นออร์แกเนลล์ที่มีลักษณะเป็นถุง มีเมมเบรนซึ่งเรียกว่าโทโนพลาสต์ (Tonoplast) ห่อหุ้ม ภายในมีสารต่างๆ บรรจุอยู่ โดยทั่วไปจะพบในเซลล์พืชและสัตว์ชั้นต่ำในสัตว์ชั้นสูงมักไม่ค่อยพบ แวคิวโอลแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ<br />5.1 แซปแวคิวโอล (Sap vacuole) พบเฉพาะในเซลล์พืชเท่านั้น ภายในบรรจุของเหลว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำ และสารละลายอื่น ๆ ในเซลล์พืชที่ยังอ่อน ๆ อยู่ แซปแวคิวโอล จะมีขนาดเล็ก รูปร่างค่อนข้างกลม แต่เมื่อเซลล์แก่ขึ้น แวคิวโอลชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่เกือบเต็มเซลล์ ทำให้ส่วนของนิวเคลียสและไซโทพลาซึม ส่วนอื่น ๆ ถูกดันไปอยู่ทางด้านข้างด้านใดด้านหนึ่งของเซลล์<br />5.2 ฟูดแวคิวโอล (Food vacuole) พบในโพรโทซัวพวกอะมีบา และพวกที่มีขนซีเรียสนอกจากนี้ ยังพบในเซลล์เม็ดเลือดขาว และฟาโกไซทิก เซลล์ (Phagocytic cell) อื่น ๆ ด้วย ฟูด แวคิวโอลเกิดจากการนำอาหารเข้าสู่เซลล์หรือการกินแบบฟาโกไซโทซิส (Phagocytosis) ซึ่งอาหารนี้จะทำการย่อยโดยน้ำย่อยจากไลโซโซมต่อไป<br />5.3 คอนแทรกไทล์แวคิวโอล (Contractile vacuole) พบในโพรโทซัวน้ำจืดหลายชนิด เช่น อะมีบา พารามิเซียม ทำหน้าที่ขับถ่ายน้ำที่มากเกินความต้องการ และของเสียที่ละลายน้ำออกจากเซลล์และควบคุมสมดุลน้ำภายในเซลล์ให้พอเหมาะด้วย<br />6. พลาสติด (Plastid) พลาสติดเป็นออร์แกเนลล์ที่พบได้ในเซลล์พืชและสาหร่ายทั่วไป ยกเว้น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ในโพรโทซัว พบเฉพาะพวกที่มีแส้ เช่น ยกลีนา วอลวอกซ์ เป็นต้น พลาสติด แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ<br /> 6.1 ลิวโคพลาสต์ (Leucoplast) เป็นพรากติดที่ไม่มีสี พบตามเซลล์ผิวของใบ และเนื้อเยื่อสะสมอาหารพวก แป้ง โปรตีน<br /> 6.2 โครโมพลาสต์ (Chromoplast) เป็นพราสติดที่มีรงควัตถุสีอื่น ๆ นอกจากสีเขียว เช่น แคโรทีน (Carotene) ให้สีส้ม และแดง แซนโทฟีลล์ (XanthophyII) ให้สีเหลืองน้ำตาล โครโมพลาสต์พบมากในผลไม้สุก เช่น มะละกอ มะเขือเทศ กลีบของดอกไม้<br /> 6.3 คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นพลาสติดที่มีสีเขียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสารคลอโรฟีลล์ ภายในคลอโรฟีลล์ประกอบด้วย ส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า สโตรมา (Stroma) มีเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสงแบบที่ไม่ต้องใช้แสง (Dark reaction) มี DNA, RNA และไรโบโซม และเอนไซม์อีกหลายชนิดปะปนกันอยู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเยื่อที่เรียงซ้อนกัน เรียกว่า กรารา (Grana) ระหว่างกราราจะมีเยื่อเมมเบรน เชื่อให้กรานาติดต่อถึงกัน เรียกว่า อินเตอร์กรานา (Intergrana) ทั้งกรานาและอินเตอร์กราราเป็นที่อยู่ของคลอโรฟิลล์ รงควัตถุอื่น ๆ และพวกเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสงแบบที่ต้องใช้แสง (Light reaction) บรรจุอยู่ หน้าที่สำคัญของคลอโรพลาสต์ก็คือ การสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) โดยแสงสีแดงและแสงสีน้ำเงิน เหมาะสมต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงมากที่สุด<br /> ออร์แกเนลล์ที่ไม่มีเยื่อหุ้ม (Nonmembrane bounded oranell)<br />1. ไรโบโซม (Ribosome) ไรโบโซมเป็นออร์แกเนลล์ขนาดเล็ก พบได้ในสิ่งมีชีวิตทั่วไปประกอบด้วยสารแคมี 2 ชนิด คือ กรดไรโบนิวคลีอีก (Ribonucleic acid : RNA) กับโปรตีน อยู่รวมกันเรียกว่าไรโบนิวคลีโอโปรตีน (Ribonucleoprotien) RNA เป็นชนิดไรโบโซมอล อาร์เอนเอ (Ribosomal RNA) หรือ rRNA ซึ่งมีประมาณ 85% ของ RNA ที่พบในเซลล์ ส่วนโปรตีนจะแตกต่างไปตามชนิดของสิ่งมีชนิดไรโบโซม จะประกอบด้วย 2 หน่วยย่อย (Subunit) ซึ่งมีขนาดต่าง ๆ เรียกคามความเร็วของการตกตะกอน เมื่อไปปั่นว่า 60S และ 40S (S = Svedberg unit of sedimentation coefficient ซึ่งเป็นค่าความเร็วในการตกตะกอน ) หน่วยย่อยทั้งสองนี้จะรวมกันเป็นหน่วยใหญ่เมื่อมีแมกนีเซียมไอออนเข้มขัน 0.001 โมลาร์มีค่าความเร็วในการตกตะกอนเป็น 80S พบในพวกเซลล์ยูคาริโอต ส่วนในพวกเซลล์โพรคาริโอต ไรโบโซมมีขนาดเล็กกว่า คือเป็นขนาด 50S และ 30S ซึ่งเมื่อรวมกันจะได้เป็น 70S นอกจากนี้ในคลอโรพลาสต์และไมโทคอนเดรีย ก็มีไรโบโซมชนิด 70S ด้วย ส่วนเซลล์เม็ดเลือดแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่เจริญเต็มที่ แล้วจะไม่มีโรโบโซมในเซลล์ที่ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีน จะพบไรโบโซมมากกว่าเซลล์ที่ไม่ได้สังเคราะห์โปรตีน ในเซลล์ที่กำลังเจริญเติบโตก็จะมีไรโบโซมมากด้วย เช่น แบคทีเรีย E. Coli ระยะเจริญเติบโตเต็มที่จะมีไรโบโซมประมาณ 25-30 % ของมวลทั้งหมดของเซลล์ไรโบโซมมีทั้งที่อยู่เป็นอิสระในไซโทพลาซึมและเกาะอยู่บนเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม (พบเฉพาะในเซลล์ยูคาริโอตเท่านั้น) พวกที่เกาะอยู่ที่เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมจะพบมากในเซลล์ต่อมที่สร้างเอนไซม์ต่าง ๆ พลาสมาเซลล์เหล่านี้จะสร้างโปรตีนที่นำไปใช้นอกเซลล์เป็นสำคัญ<br /> ตำแหน่งของเซนทริโอลในเซลล์และภาพขยายให้เห็นการเรียงตัวของไมโครทูบูลแบบ 9+9<br /> 2. เซนทริโอล (Centriole) เซนทริโอลมีลักษณะคล้ายท่อทรงกระบอก 2 อันตั้งฉากกัน พบเฉพาะในเซลล์สัตว์และโพรทิสต์บางชนิด มีหน้าที่เกี่ยวกับการแบ่งเซลล์เซนทริโอลแต่ละอัน จะประกอบด้วยชุดของไมโครทูบูล (Microtubule) ซึ่งเป็นหลอดเล็ก ๆ 9 ชุด แต่ละชุดมี 3 ซับไฟเบอร์ (Subfiber) คือ A,B และ C บริเวณตรงกลางไม่มีไมโครทูบูล จึงเรียกการเรียงตัวแบบนี้ว่า 9+0 เซนทริโอล มี DNA และ RNA เป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงสามารถจำลองตัวเองและสร้างโปรตีนขึ้นมาใช้เองได้ สำหรับไมโครทูบูลนั้น นอกจากจะพบในเซนทริโอลแล้วยังพบในซีเลีย (Cilia) และแฟลเจลลา (Flagella) ซึ่งมีการเรียงตัว เป็นแบบ 9+2 โดยวงด้านนอกประกอบด้วยไมโครทูบูล 9 ชุด แต่ละชุด มี 2 ซับไฟเบอร์ คือ A และ B และด้านในมี 2 ชุด แต่ละชุดมี 1 ซับไฟเบอร์ ส่วนในขาเทียมของอะมีบา จะมีการเรียงตัวของไมโครทูบูล เป็นรูปก้นหอย แต่มีจำนวนไม่แน่นอน หน้าที่ของไมโครทูบูล ก็คือ เกี่ยวข้องกับการลำเลียงสารในเซลล์ ให้ความแข็งแรงแก่เซลล์และโครงสร้างอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับการแบ่งเซลล์ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของเซลล์ เพราะเป็นส่วนประกอบของซีเลีย และ แฟลเจลลา นอกจากนี้ในเซลล์เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของเซลล์ เพราะเป็นส่วนประกอบของซีเลียและแฟลแจแลลา นอกจากนี้ ในเซลล์ยังมีเส้นใยโปรตีน ขนาดเล็กเรียกว่า ไมโครฟิลาเมนต์ (Microfilament) และอินเตอร์มีเดียทฟิลาเมนต์ (Intermediate filament) ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการค้ำจุนให้ความแข็งแรงแก่เซลล์ ทำให้เกิดกระบวนการไซโคซิส (Cyclosis) ในเซลล์นอกจากนี้ ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ และกล้ามเนื้อตาย การฟาโกไซโทซิส และการขับสารออกนอกเซลล์ด้วย ทั้งไมโครทูบูล ไมโครฟิลาเมนต์ จึงทำหน้าที่คล้ายโครงกระดูกของเซลล์ (Cytoskeleton)<br />ข. ไซโทพลาสมิก อินคลูชั่น (Cytoplamic inclusion) หมายถึง สารที่ไม่มีชีวิตที่อยู่ใน ไซโทพลาซึม เช่น เม็ดแป้ง (Starch grain) เม็ดโปรตีน หรือพวกของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมแทบอลิซึม เช่น ผลึกของแคลเซียม ออกซาเลต (Calcium oxalate) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของแคลเซียม กับกรดออกซาลิก (Oxalic acid) เพื่อทำลายพิษของกรดดังกล่าว<br />3.2 นิวเคลียส<a name="link5"></a><br /> นิวเคลียสค้นพบโดย รอเบิร์ต บราวน์ นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1831 มีลักษณะเป็นก้อนทึบแสงเด่นชัน อยุ่บริเวณกลาง ๆ หรือค่อนไปข้างใดข้างหนึ่งของเซลล์ เซลล์โดยทั่วไป จะมี 1 นิวเคลียส เซลล์พารามีเซียม มี 2 นิวเคลียส ส่วนเซลล์พวกกล้ามเนื้อลาย เซลล์เวลเซล (Vessel) ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตลาเทกซ์ในพืชชั้นสูง และเซลล์ของราที่เส้นใยไม่มีผนังกั้นจะมีหลายนิวเคลียส เซลล์เม็ดเลือดแดงของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และเซลล์ซีฟทิวบ์ของโฟลเอมที่แก่เต็มที่จะไม่มีนิวเคลียส นิวเคลียสมีความสำคัญเนื่องจากเป็นที่อยู่ของสารพันธุกรรม จึงมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ โดยทำงานร่วมกับไซโทพลาซึมจากการทดลองโดยนำนิวเคลียสของอะมีบาออก จะพบว่าอะมีบาตายภายใน 2-3 วัน<br /><br />ก. สารประกอบทางเคมีของนิวเคลียส ประกอบด้วย<br />ดีออกซีไรโบนิวคลีอิก แอซิด (Deoxyribonucleic acid) หรือ DNA เป็นส่วนประกอบของโครโมโซมในนิวเคลียส<br />ไรโบนิวคลีอิก แอซิด (Ribonucleic acid) หรือ RNA เป็นส่วนที่พบในนิวเคลียสโดยเป็นส่วนประกอบของนิวคลีโอลัส<br />โปรตีน ที่สำคัญคือ โปรตีนฮีสโตน (Histone) โปรตีนโพรตามีน (Protamine) ซึ่งเป็นโปรตีนเบส (Basic protein) ทำหน้าที่เชื่อมเกาะอยู่กับ DNA ส่วนโปรตีนเอนไซม์ส่วนใหญ่จะเป็นเอนไซม์ในกระบวรการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก และเมแทบอลิซึมของกรดนิวคลีอิก และเอนไซม์ในกระบวรการไกลโคไล ซีส ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างพลังงานให้กับนิวเคลียส<br /><br />ข. โครงสร้างของนิวเคลียสประกอบด้วย 3 ส่วน คือ<br />เยื่อหุ้มเซลล์ (Nulear membrane) เป็นเยื่อบาง ๆ 2 ชั้น เรียงซ้อนกัน ที่เยื่อนี้จะมีรูเรียกว่านิวเคลียร์พอร์ (Nuclear pore) หรือ แอนนูลัส (Annulus) มากมาย รูเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของสารต่าง ๆ ระหว่างไซโทพลาสซึมและนิวเคลียส นอกจากนี้เยื่อหุ้มนิวเคลียสยังมีลักษณะเป็นเยื่อเลือก ผ่านเช่นเดียวกับเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มนิวเคลียสชั้นนนอกจะติดต่อกับเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม และมีไรโบโซมมาเกาะ เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงสารต่าง ๆ ระหว่างนิวเคลียสและไซโทพลาซึมด้วย<br /><br /><br /><br />ภาพโครโมโซมของมนุษย์และกำลังแบ่งเซลล์ แสดงให้เห็นคู่ของโคมมาทิดเกาะกันที่ตำแหน่งเซนโทรเมียร์<br />โครมาทิน (Chromatin) เป็นส่วนของนิวเคลียสที่ย้อมติดสี เป็นเส้นในเล็ก ๆ พันกันเป็นร่างแห เรียกร่างแหโครมาทิน (Chromatin network) โดยประกอบด้วย โปรตีนหลายชนิด และ DNA ในการย้อมสี โครมาทินจะติดสีแตกต่างกัน ส่วนที่ติดสีเข้มจะเป็นส่วนที่ไม่มีจีน (Gene) อยู่เลย หรือมีก็น้อยมาก เรียกว่า เฮเทอโรโครมาทิน (Heterochromatin) ส่วนที่ย้อมติดสีจาง เรียกว่า ยูโครมาทิน (Euchromatin) ซึ่งเป็นที่อยู่ของจีน ในขณะที่เซลล์กำลังแบ่งตัว ส่วนของโครโมโซมจะหดสั้นเข้าและมีลักษณะเป็นแท่งเรียกว่าโครโมโซม (Chromosome) และโครโมโซมจะจำลองตัวเองเป็นส้นคู่ เรียกว่า โครมาทิด (Chromatid) โครโมโซมของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีจำนวนแน่นอน เช่น ของคนมี 23 คู่ ( 46 แท่ง ) แมลงหวี่ 4 คู่ (8 แท่ง) แมว 19 คู่ (38 แท่ง) หมู 20 คู่ (40 แท่ง) มะละกอ 9 คู่ (18 แท่ง) กาแฟ 22 คู่ (44 แท่ง) โครโมโซมมีหน้าที่ควบคุมกิจกรรมค่าง ๆ ของเซลล์และควบคุมการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจองสิ่งมีชีวิตทั่วไป เช่น หมู่เลือก สีตา สีผิว ความสูง และการเกิดรูปร่างของสิ่งมีชีวิต เป็นต้น<br />นิวคลีโอรัส (Nucleolus) เป็นส่วนของนิวเคลียสที่มีลักษณะเป็นก้อนอนุภาคหนาทึบ ค้นพบโดยฟอนตานา (Fontana) เมี่อปี ค.ศ. 1781 (พ.ศ. 2224) นิวคลีโอลัสพบเฉพาะเซลล์ของพวกยูคาริโอตเท่านั้น เซลล์อสุจิ เซลล์เม็ดเลือดแดงที่เจริญเติบโตเต็มที่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และเซลล์ไฟเบอร์ของกล้ามเนื้อ จะไม่มีนิวคลีโอลัส นิวคลีโอลัสประกอบด้วย โปรตีน และ RNA โดยโปรตีนเป็นชนิดฟอสโฟโปรตีน (Phosphoprotein) จะไม่พบโปรตีนฮิสโตนเลย ในเซลล์ที่มีกิจกกรรมสูงจะมีนิวคลีโอลัสขนาดใหญ่ ส่วนเซลล์ที่มีกิจกรรมต่ำ จะมีนิวคลีโอลัวขนาดเล็ก นิวคลีโอลัสมีหน้าที่ในการสังเคราะห์ RNA ชนิดต่าง ๆ และถูกนำออกทางรูของเยื่อหุ้มนิวเคลียส เพื่อสร้างเป็นไรโบโซมต่อไป ดังนั้น นิวคลีโอลัสจึงมีความสำคัญต่อการสร้างโปรตีนเป็นอย่างมาก เนื่องจากไรโบโซมทำหน้าที่สร้างโปรตีน<br /><br />geovisit();mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-45038424062288252422009-06-20T00:57:00.000-07:002009-06-20T00:58:38.193-07:00<a href="http://www.rmutphysics.com/CHARUD/naturemystery/sci3/cell/animal-cell2.jpg"><img style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 407px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px" alt="" src="http://www.rmutphysics.com/CHARUD/naturemystery/sci3/cell/animal-cell2.jpg" border="0" /></a><br /><div></div>mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-58353568152364153012009-06-20T00:49:00.001-07:002009-06-20T00:50:51.122-07:00เซลล์<a href="http://http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Biological_cell.svg">http://http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:Biological_cell.svg</a>mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6952281411775582909.post-83630658705222033902009-05-11T20:34:00.000-07:002009-06-20T01:20:58.307-07:00<a href="http://203.172.204.162/intranet/1046_e-learning/www.e-learning.sg.or.th/ac2_6/pic/Image4.jpg"><img style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 435px; CURSOR: hand; HEIGHT: 356px" alt="" src="http://203.172.204.162/intranet/1046_e-learning/www.e-learning.sg.or.th/ac2_6/pic/Image4.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjfkWd1dp2dCGli9rE94rUPTIdouBgu79CYNW4v8zALZdgC8l1iL3RpGjbBlWaZMgvR63wnauk8j2h7XW9hM37N64MOckOlRl6eoh7QsukveVQYLHr3xI04D8pMtpEksEfO5-15rKvFnE/s1600-h/IMG_7782.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5334776312174903506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjfkWd1dp2dCGli9rE94rUPTIdouBgu79CYNW4v8zALZdgC8l1iL3RpGjbBlWaZMgvR63wnauk8j2h7XW9hM37N64MOckOlRl6eoh7QsukveVQYLHr3xI04D8pMtpEksEfO5-15rKvFnE/s320/IMG_7782.jpg" border="0" /></a> ค่ายอัจฉริยะภาพทางวิทยาศาสตร์ </div>mayureehttp://www.blogger.com/profile/09122465972203161230noreply@blogger.com0